รถยนต์ไฟฟ้า คือ อะไร
รถยนต์ไฟฟ้า
คือ รถยนต์ที่ใช้แหล่งพลังงานที่มาจากไฟฟ้า
โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เก็บที่แบตเตอรี่รถยนต์ มาใช้เป็นแหล่งพลังงานแทนน้ำมัน
ซึ่งโดยปรกติ รถยนต์จะใช้พลังงานจากน้ำมัน
แต่รถยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากไฟฟ้าในการขับเคลือน มีนักวิทยาศาสตร์
ได้ออกมาคาดการณ์ว่า ในอนาคตพลังงานจากฟอสซิ่ว หรือ น้ำมันจะหมดไปจากโลก
เพราะมีการใช้พลังงานจากน้ำมัน จำนวนมาก และการเกิดน้ำมันต้องใช้เวลานับพันปี
กว่าที่จะเกิดน้ำมันได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ จึงได้คิดค้นพลังงานทดแทนน้ำมัน
ซึ่งทางออกที่ดีที่สุด คือพลังงานไฟฟ้า เพราะพลังงานไฟฟ้าสามารถผลิตขึ้นมาเองได้
เช่น จากเขื่อน โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ พลังงานลม พลังงานจากแสงอาทิตย์ เป้นต้น เหล่านี้สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ทั้งสิ้น
ดังนั้นพลังงานในอนาคตก็คือ พลังงานไฟฟ้า ซึ่งการเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
เป็นตัวชี้วัดถึงจุดเปลี่ยนพลังงานในอนาคตนี้
2. ราคารถพลังงานไฟฟ้า
รถพลังงานไฟฟ้าจัดเป็นรถราคาแพงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์เทสลา โมเดล เอส ในสหรัฐอเมริการาคาอยู่ที่ 70,000 ดอลลาร์ หรือ ราว 2.4 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ซื้อยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 2-3 ปีอีกด้วย ข่าวดีก็คือ บริษัทรถยนต์หลายแห่งเริ่มวางแผนที่จะทำให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยการทำราคาให้ถูกลง ตัวอย่างเช่น บริษัท จีเอ็ม ซึ่งมีแผนจะผลิต เชฟโรเลต อิเล็กทริกรุ่นใหม่ออกมา ที่คาดว่าจะจำหน่ายได้ในราคาราว 35,000 ดอลลาร์ หรือ 1.2 ล้านบาท เป็นต้น
3. ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่
ระยะเวลาเฉลี่ยทั่วไปในการชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถพลังงานไฟฟ้าจนเต็มนั้นอยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงกับ 30 นาที ซึ่งส่งผลให้ระยะเวลาที่สะดวกที่สุดในการชาร์จก็คือตอนกลางคืนทั้งคืน แล้วนำรถไปใช้ในตอนกลางวัน หากผู้ใช้ไม่สามารถปรับการใช้งานให้สอดคล้องได้ การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในทันทีเช่นกัน ข้อนี้เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับรถใช้น้ำมันทั่วไปที่เติมน้ำมันได้เต็มถังในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
4. มีรุ่นรถให้เลือกน้อย
ถึงแม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายจะเล็งเห็นว่ารถพลังงานไฟฟ้าคืออนาคต แต่ถึงเวลานี้ยังมีผลิตกันออกมาไม่มากมายนัก และมีรุ่นให้เลือกใช้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานน้อยลงไปอีก ที่น่าสนใจก็คือ รถพลังงานไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ผลิตออกมาเป็นรถขนาดเล็ก เรื่อยไปจนถึง ไมโครคาร์ สำหรับใช้งานระยะสั้นในเมืองเท่านั้น ยังไม่มีรถประเภท ออฟโรด ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ สปอร์ตคาร์ ที่เป็นรถไฮบริดคันเดียวของฮอนด้า (คือ ฮอนด้า ซีอาร์-เเซด) ก็ยุติการผลิตไปแล้ว
5. สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า
สถานีชาร์จประจุไฟฟ้ามีน้อย หรือมีจำกัดเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียง แต่เมื่อออกนอกเมืองหรือเดินทางไกลกลับไม่มี จนกลายเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าในเวลานี้
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า
1.การใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้านอกจากจะช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตจากฟอสซิล
อย่างน้ำมันเบนซิน และดีเซล ลงแล้ว ยังจะสามารถช่วยให้สภาวะแวดล้อมของโลกดีขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่เลวร้ายลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้อีกด้วย
2.มูลนิธิ
เพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรป เคยดำเนินการศึกษาวิจัยเอาไว้เมื่อปี 2015 พบว่า การเปลี่ยนไปใช้รถพลังงานไฟฟ้ากันมากๆ
นอกจากจะทำให้ผู้ใช้สามารถประหยัดเงินได้ 1,000 ปอนด์
หรือราว 45,000 บาทต่อปี
เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว
3.ช่วยให้ประเทศสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง
47 เปอร์เซ็นต์ภายในระยะเวลา 15 ปี
4.มีผู้ขับขี่หลายรายที่ชื่นชอบและติดใจประสบการณ์ในการขับขี่รถพลังงานไฟฟ้า
โดยเฉพาะเรื่องอัตราเร่ง เนื่องจากรถไฟฟ้าให้แรงบิดได้ทันใจแทบจะในทันที
ไม่จำเป็นต้องรอรอบเครื่องเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
ทำให้การออกตัว เร่ง ทำได้รวดเร็ว ให้ความรู้สึก "เบา" และ
"ปราดเปรียว" กว่ารถใช้น้ำมัน เป็นต้น
ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า
1. ข้อจำกัดของพลังงานแบตเตอรี่
ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ หรือบีอีวี เนื่องจากแบตเตอรี่มีความจุจำกัด ทำให้รถยนต์อีวีส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดวิ่งได้เป็นระยะทางไกลที่สุดไม่เกิน 100 ไมล์หรือ 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุเต็มที่ 1 ครั้ง มีเพียง "เทสลา" เท่านั้นที่ทลายข้อจำกัดดังกล่าวได้ โดยชาร์จประจุไฟฟ้า 1 ครั้งทำระยะทางได้มากกว่า 250 ไมล์ ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ผลิตแบตเตอรี่
ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ หรือบีอีวี เนื่องจากแบตเตอรี่มีความจุจำกัด ทำให้รถยนต์อีวีส่วนใหญ่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดวิ่งได้เป็นระยะทางไกลที่สุดไม่เกิน 100 ไมล์หรือ 160 กิโลเมตรต่อการชาร์จประจุเต็มที่ 1 ครั้ง มีเพียง "เทสลา" เท่านั้นที่ทลายข้อจำกัดดังกล่าวได้ โดยชาร์จประจุไฟฟ้า 1 ครั้งทำระยะทางได้มากกว่า 250 ไมล์ ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่มาใช้ผลิตแบตเตอรี่
2. ราคารถพลังงานไฟฟ้า
รถพลังงานไฟฟ้าจัดเป็นรถราคาแพงเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันทั่วไป ตัวอย่างเช่น รถยนต์เทสลา โมเดล เอส ในสหรัฐอเมริการาคาอยู่ที่ 70,000 ดอลลาร์ หรือ ราว 2.4 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ซื้อยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ภายใน 2-3 ปีอีกด้วย ข่าวดีก็คือ บริษัทรถยนต์หลายแห่งเริ่มวางแผนที่จะทำให้รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยการทำราคาให้ถูกลง ตัวอย่างเช่น บริษัท จีเอ็ม ซึ่งมีแผนจะผลิต เชฟโรเลต อิเล็กทริกรุ่นใหม่ออกมา ที่คาดว่าจะจำหน่ายได้ในราคาราว 35,000 ดอลลาร์ หรือ 1.2 ล้านบาท เป็นต้น
3. ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่
ระยะเวลาเฉลี่ยทั่วไปในการชาร์จแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถพลังงานไฟฟ้าจนเต็มนั้นอยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงกับ 30 นาที ซึ่งส่งผลให้ระยะเวลาที่สะดวกที่สุดในการชาร์จก็คือตอนกลางคืนทั้งคืน แล้วนำรถไปใช้ในตอนกลางวัน หากผู้ใช้ไม่สามารถปรับการใช้งานให้สอดคล้องได้ การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในทันทีเช่นกัน ข้อนี้เป็นข้อเสียที่เห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับรถใช้น้ำมันทั่วไปที่เติมน้ำมันได้เต็มถังในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
4. มีรุ่นรถให้เลือกน้อย
ถึงแม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายจะเล็งเห็นว่ารถพลังงานไฟฟ้าคืออนาคต แต่ถึงเวลานี้ยังมีผลิตกันออกมาไม่มากมายนัก และมีรุ่นให้เลือกใช้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการใช้งานน้อยลงไปอีก ที่น่าสนใจก็คือ รถพลังงานไฟฟ้าหลายๆ รุ่น ผลิตออกมาเป็นรถขนาดเล็ก เรื่อยไปจนถึง ไมโครคาร์ สำหรับใช้งานระยะสั้นในเมืองเท่านั้น ยังไม่มีรถประเภท ออฟโรด ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ สปอร์ตคาร์ ที่เป็นรถไฮบริดคันเดียวของฮอนด้า (คือ ฮอนด้า ซีอาร์-เเซด) ก็ยุติการผลิตไปแล้ว
5. สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า
สถานีชาร์จประจุไฟฟ้ามีน้อย หรือมีจำกัดเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียง แต่เมื่อออกนอกเมืองหรือเดินทางไกลกลับไม่มี จนกลายเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าในเวลานี้
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น